นัทธี จิตสว่าง
ความนำ
ความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดกับอาชญากรรมหรือกล่าวโดยเฉพาะเจาะจง ความสัมพันธ์ระหว่างการเสพยาเสพติดกับการประกอบอาชญากรรม เป็นเรื่องที่คนโดยทั่วไปมักมีความเชื่อกันว่าการเสพยาเสพติดเป็นต้นเหตุสำคัญของการก่ออาชญากรรมสาเหตุหนึ่ง โดยเฉพาะความเชื่อในประเด็นที่ว่า ผู้ติดยาเสพติดจะประกอบอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์เพื่อนำเงินไปซื้อยาเสพติด
สำหรับนักอาชญาวิทยา ความสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดกับอาชญากรรมนั้นมีมานานแล้ว ในระยะแรกยังมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่เป็นที่สนใจเท่าใดนัก แต่ภายหลังนับจากที่ Lawrence Kolb (1925) พบว่าผู้ติดยาเสพติดที่ประกอบอาชญากรรมนั้น ประกอบอาชญากรรมมาก่อนที่จะติดยาเสพติด และยาเสพติดไม่นำไปสู่การประกอบอาชญากรรมที่ใช้ความรุนแรงทำให้มีการศึกษาวิจัยเสริมต่ออีกมากมาย ทั้งนี้การวิจัยดังกล่าว เป็นการโต้แย้งกันในประเด็นต่าง ๆ หลายประเด็น อย่างไรก็ตามการวิจัยทั้งหมดก็มุ่งที่จะหาคำตอบในเรื่องเดียวกัน คือความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรม
บทความในเรื่องนี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะการศึกษาวิจัยในระยะหลัง ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอาชญากรรมว่าได้มีการศึกษาไว้อย่างไรและบทสรุปในปัจจุบันเป็นอย่างไร
ประเด็นหลักในการวิจัย
การวิจัยเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดกับอาชญากรรมนี้ได้มีผู้ทำวิจัยไว้มากมายนับร้อยเรื่อง อย่างไรก็ตามการวิจัยดังกล่าวที่ผ่านมามักจะเป็นการโต้แย้งกันในประเด็นหลักเพียงไม่กี่ประเด็น ประเด็นที่สำคัญคือ
-
ตัวแปรสองตัวนี้มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
-
ถ้าไม่มี เป็นไปได้หรือไม่ว่าตัวแปรทั้งสองตัวเป็นผลมาจากตัวแปรที่สาม
-
ถ้ามี ตัวแปรตัวใดมาก่อน กล่าวคือยาเสพติดมาก่อนอาชญากรรม หรืออาชญากรรมมาก่อนยาเสพติด
-
หากยาเสพติดมาก่อนอาชญากรรมแล้ว คำถามที่จะตามมาก็คือว่าในสภาพอย่างไร หรือมีอิทธิพลมากน้อยเพียงไรที่ยาเสพติดนำไปสู่อาชญากรรม และคนที่ติดยาเสพติดทุกคนจะต้องหันไปประกอบอาชญากรรมหรือไม่ คนประเภทใดที่จะหันไปประกอบอาชญากรรมและคนประเภทใดไม่หันกลับไปประกอบอาชญากรรม
-
หากอาชญากรรมมาก่อนยาเสพติด ภายหลังจากติดยาเสพติดแล้วการประกอบอาชญากรรมจะเพิ่มมากขึ้นหรือไม่
-
หากยาเสพติดมีความสัมพันธ์กับอาชญากรรมแล้ว การติดยาเสพติดจะนำไปสู่การประกอบอาชญากรรมประเภทใด
ในการตอบคำถามข้างต้นดังกล่าว การวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในผลการวิจัย กล่าวคือการวิจัยบางเรื่องพบความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรมแต่การวิจัยบางเรื่องไม่พบ หรือการวิจัยบางเรื่องพบว่ายาเสพติดนำไปสู่อาชญากรรม แต่การวิจัยบางเรื่องพบในทางตรงกันข้าม อย่างไรก็ตามหากจะพิจารณาถึงการวิจัยโดยทั่วไปแล้วส่วนใหญ่พบว่า ยาเสพติดมีความสัมพันธ์กับอาชญากรรม แต่ปัญหาที่เป็นเรื่องโต้แย้งกันก็คืออาชญากรรมมาก่อนยาเสพติด หรือยาเสพติดมาก่อนอาชญากรรม ดังนั้นเพื่อเป็นการทบทวนผลการวิจัยในประเด็นโต้แย้งดังกล่าว จึงอาจแยกพิจารณาการวิจัยดังกล่าวได้ดังนี้
อาชญากรรมมาก่อนยาเสพติด
คำถามที่น่าพิจารณาในการวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรมก็คือคำถามที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ที่ติดยาเสพติดส่วนใหญ่เคยประกอบอาชญากรรม หรือประพฤติเกเรมาก่อนที่จะติดยาเสพติด เพื่อที่จะตอบคำถามดังกล่าว นักวิจัยก็จะเลือกตัวอย่างจากผู้ติดยาเสพติดกลุ่มหนึ่งมาศึกษาว่า ผู้ติดยาเสพติดกลุ่มดังกล่าวเคยมีประวัติการกระทำผิด หรือประวัติการถูกจับกุมมาก่อนที่จะเริ่มเสพยาเสพติดหรือเริ่มติดยาเสพติดหรือไม่ ผลการวิจัยที่ปรากฏออกมามีความหลากหลายพอสมควร อย่างไรก็ตามจากการที่ Greenberg and Adler (1974) ได้ทบทวนวรรณกรรมหรือผลงานวิจัยนับตั้งแต่ปี 1920 ถึง 1974 พบว่าในช่วงปี 1920 – 1940 การวิจัยหลายเรื่องไม่พบว่าผู้ติดยาเสพติดเคยมีประวัติการกระทำผิดมาก่อนการติดยาเสพติดแต่ในระยะหลังการวิจัยหลายเรื่องพบในทางตรงกันข้าม คือผู้ติดยาเสพติดส่วนใหญ่จะเคยมีประวัติการกระทำผิดมาก่อน
Johnston et al (1978) ได้ติดตามศึกษาชีวิตของเด็กกลุ่มหนึ่งเป็นเวลาหลายปีเพื่อที่จะดูว่าการเสพยาเสพติดนำไปสู่พฤติกรรมในการกระทำผิด หรือพฤติกรรมในการกระทำผิดมาก่อนการเสพยาเสพติด คณะผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยว่า การเสพยาเสพติดไม่มีบทบาทในการทำให้ ผู้เสพเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมในการกระทำผิดมากขึ้น ตรงกันข้ามเด็กที่มีพฤติกรรมในการกระทำผิดหรือเด็กเกเรอยู่ มักจะหันไปสู่ยาเสพติดในเวลาต่อมา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการเสพยาเสพติดเป็นวัฒนธรรมย่อยของเด็กที่มีพฤติกรรมในการกระทำผิดหรือเด็กเกเรซึ่งมักจะชักชวนกันให้หันไปสู่ยาเสพติด
Tayler & Allbright (1981) ศึกษาผู้เสพเฮโรอีน 1,728 คน เพื่อดูว่ามีการเสพก่อน เข้าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหรือไม่ และเพื่อดูว่าความสัมพันธ์ของการเสพเฮโรอีนกับอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ พบว่าผู้เสพมักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม (ที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด) มาก่อนที่จะเสพเฮโรอีนเนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างอายุที่เริ่มเสพกับอายุขณะที่กระทำผิดครั้งแรก
Inciardi (1980) วิเคราะห์กลุ่มผู้ติดเฮโรอีนพบว่าแทบจะทั้งหมดจะประกอบอาชญากรรมก่อน สรุปอาชญากรรมมาก่อนการเสพเฮโรอีน โดยให้เหตุผลว่าเกณฑ์อายุเฉลี่ยในการกระทำผิดครั้งแรก 14.2 ปี และอายุเฉลี่ยที่เริ่มเสพเฮโรอีน 16.8 ปี เช่นเดียวกับพวกที่เสพกัญชา โคเคน มีอายุเฉลี่ยเมื่อเริ่มกระทำผิดครั้งแรก 13 ปี และเริ่มเสพเมื่อ 14.3 ปี แต่สรุปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอาชญากรรมและยาเสพติดอาจจะให้ผลต่างกันในเด็กกลุ่มต่างๆ กัน
Johansson & Bjerver (1982) ศึกษายาเสพติด สภาพสังคมและอาชญากรรมในกลุ่มผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา – ไต่สวน จำนวน 500 คน ในกรุง Stockholm พบว่า 56% ของผู้ที่ติดยาและสุรามีการเสพก่อนประกอบอาชญากรรมก่อน และ 38% ประกอบอาชญากรรมก่อนติดยา
Stanton (1969) ศึกษาอยู่ระหว่างการพักการลงโทษ 150 คน ที่เคยมีประวัติติดยาเสพติดมาก่อน พบว่ามีผู้ได้รับการพักการลงโทษ 108 คน เคยถูกจับกุมครั้งแรกก่อน เสพยาเสพติดและ 27 คน เสพยาเสพติดก่อนถูกจับครั้งแรก ส่วนอีก 15 คน กำลังเสพยาเสพติดขณะที่ถูกจับกุม อย่างไรก็ตามการใช้เกณฑ์เรื่องการถูกจับกุมเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าเป็นการประกอบอาชญากรรมนั้นยังขาดความแน่นอน เพราะอาจมีการประกอบอาชญากรรมโดยไม่ถูกจับก็ได้
Mc Glothlin et al (1978) เป็นอีกคนหนึ่งที่ศึกษาถึงวงจรชีวิตผู้ติดยาเสพติด ร้อยละ 80 ของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเคยถูกจับกุมในความผิดอาญาก่อนติดยาเสพติด ในขณะที่ Chamber et al (1968) ก็พบในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือในการศึกษาผู้ติดยาเสพติดที่เป็นคนผิวดำกลุ่มหนึ่ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมดถูกจับกุมในคดีความผิดอาญาก่อนที่จะเสพยาเสพติด อย่างไรก็ตามมีการศึกษาวิจัยบางเรื่องที่พบว่าผู้ติดยาเสพติดส่วนใหญ่ไม่เคยมีประวัติการกระทำผิดมาก่อนที่การวิจัยของ Nurco and DuPont (1977) สรุปว่า หากจะมีความสัมพันธ์แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างการเสพยาเสพติดกับการประกอบอาชญากรรมรุนแรงนั้นมีอยู่น้อยมาก แต่ภายหลังจากที่ติดยาเสพติดแล้วการประกอบอาชญากรรมจะเพิ่มมากขึ้น
ประเด็นจากการวิจัยของ Nurco and DuPont ในประเด็นหลังที่ว่าเมื่อติดยาเสพติดแล้วการกระทำผิดจะเพิ่มขึ้นนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งนี้โดยที่ไม่สนใจว่าผู้ติดยาเสพติดจะมีพฤติกรรมทางอาชญากรมาก่อนหรือไม่ แต่ภายหลังจากที่ติดยาเสพติดแล้วมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพฤติกรรมทางอาชญากรหรือไม่ คำถามในประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องที่จะพิจารณาในหัวข้อต่อไป
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมอาชญากรภายหลังการติดยาเสพติด
ปัญหาข้อต่อไปมีอยู่ว่า พฤติกรรมในการประกอบอาชญากรรมจะเปลี่ยนแปลงไป ภายหลังจากที่ติดยาเสพติดหรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งจะมีการประกอบอาชญากรรมบ่อยครั้งขึ้น หรือรุนแรงขึ้นหรือไม่
เกี่ยวกับเรื่องนี้มีนักอาชญาวิทยาหลายคนที่พยายามจะหาคำตอบดังกล่าวและผลการวิจัยส่วนใหญ่จะปรากฏออกมาในลักษณะที่สอดคล้องกันคือจะพบว่า แม้ว่าการกระทำผิดจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้เสพยาเสพติดแล้ว วิถีชีวิตของพวกเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหรือประกอบอาชญากรรมมากขึ้น
Plair and Jackson (1970) ได้สัมภาษณ์ผู้ติดยาเสพติด 50 คน ที่พักอยู่ในบ้านกึ่งวิถีในกรุงวอชิงตัน ดี ซี เพื่อศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาชญากรรมกับยาเสพติดพบว่า ผู้ติดยาเสพติดทั้ง 50 คน เคยประกอบอาชญากรรมมาก่อนที่จะติดยาเสพติด แต่หลังจากที่ติดยาเสพติดแล้วการประกอบอาชญากรรมจะเพิ่มข้น
Stephens and Ellis (1975) ได้วิเคราะห์ประวัติการถูกจับกุมของผู้ติดยาเสพติด กลุ่มหนึ่งในรัฐนิวยอร์ก เพื่อศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของการประกอบอาชญากรรมภายหลังการติดยาเสพติด พบว่าภายหลังจากที่กลุ่มตัวอย่างติดยาเสพติดแล้วสถิติการถูกจับกุมของกลุ่มตัวตัวอย่างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ แต่ในความผิดเกี่ยวกับร่างกายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ O, Donnell (1969) ได้ศึกษาผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการรักษาในสถานบำบัดแห่งหนึ่งพบว่า ผู้ติดยาเสพติดที่ศึกษาประกอบอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นภายหลังติดยาเสพติด นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ติดยาเสพติดกลุ่มนี้ประกอบอาชญากรรมมากกว่าบุคคลโดยทั่วไปที่มีอายุในระดับเดียวกัน กล่าวคือจากการวิเคราะห์สถิติพบว่า บุคคลโดยทั่วไปจะประกอบอาชญากรรมลดน้อยลง เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไปแต่สำหรับกลุ่มผู้ติดยาเสพติดแล้วกลับประกอบอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการวิจัยที่พยายามพิจารณาในมุมกลับคือ “เมื่อการเสพยาเสพติดลดลง การประกอบอาชญากรรมจะลดลงหรือไม่” Mc Glothin et. al (1978) พบว่าจำนวนครั้งในการเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมอาชญากรจำนวนครั้งของการประกอบอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์ที่ได้รับรายงาน และรายได้จากการประกอบอาชญากรรมลดลงอย่างสอดคล้องกับการลดลงของการเสพยาเสพติด อย่างไรก็ตามมีการวิจัยบางเรื่องที่พบในสิ่งตรงกันข้ามกับการวิจัยส่วนใหญ่ เช่น การวิจัยของ Rosentnal et al (1973) ซึ่งศึกษาผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดรักษาในสถานบำบัด จำนวน 216 คน พบว่าภายหลังการติดยาเสพติดของกลุ่มตัวอย่างการประกอบอาชญากรรมของกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวทั้งในด้านปริมาณและความรุนแรงมิได้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามบทสรุปจากการวิจัยในขณะนี้ก็คือว่า การวิจัยส่วนใหญ่พบว่าผู้ติดยาเสพติดส่วนใหญ่เคยประกอบอาชญากรรมมาก่อนการติดยาเสพติด แต่ภายหลังการติดยาเสพติดแล้ว การประกอบอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์ได้เพิ่มมากขึ้น
ยาเสพติดมาก่อนอาชญากรรม
ในการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดกับอาชญากรรมนั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่นักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายบริหารต้องการที่จะทราบก็คือ ประเด็นที่ว่ายาเสพติดเป็นที่มาหรือสาเหตุของอาชญากรรมได้หรือไม่ แต่โดยเหตุที่การใช้คำว่า “สาเหตุ” ในทางสังคมศาสตร์เป็นเรื่องที่มีขอบเขตจำกัด ดังนั้นประเด็นที่จะต้องพิจารณาจึงเหลือแต่เพียงว่าก่อนที่ผู้กระทำผิดจะประกอบอาชญากรรมนั้น เคยเสพหรือติดยาเสพติดมาก่อนหรือไม่ อีกนัยหนึ่ง “ยาเสพติดมาก่อนอาชญากรรม” ใช่หรือไม่ การที่จะตอบคำถามดังกล่าวได้ผู้วิจัยมักจะเลือกกลุ่มตัวอย่างจากผู้กระทำผิดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาศึกษา เช่น กลุ่มผู้ต้องหา กลุ่มผู้ต้องขัง กลุ่มเด็กในสถานพินิจหรือกลุ่มผู้ที่อยู่ในสถานควบคุมหรือบ้านกึ่งวิถี จากนั้นจึงมาศึกษาประวัติกลุ่มตัวอย่างเหล่านั้นเคยเสพ หรือติดยาเสพติดหรือไม่ หากพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เคยเสพหรือติดยาเสพติดก็จะสรุปว่า ยาเสพติดมีความสัมพันธ์กับอาชญากรรม หรือยาเสพติดเป็นที่มาของอาชญากรรม
เพื่อที่จะศึกษาว่ายาเสพติดเป็นที่มาของอาชญากรรมได้แค่ไหนเพียงใด Eckerman et al. (1971) ได้ศึกษาผู้ต้องหาในคดีต่างๆ 1,800 คน ในเขตเมืองใหญ่ของสหรัฐ 6 เมือง โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ ตรวจปัสสาวะและตรวจสอบจากเอกสารทางราชการ ทั้งนี้โดยแยกออกเป็น 3 กลุ่ม คือพวก “เคยเสพ” “กำลังเสพ” และ “ไม่เคยเสพ” พบว่าจากจำนวน 1,800 คน มีผู้ต้องหา 461 คน ที่ “กำลังเสพ” เฮโรอีนอยู่ในขณะถูกจับและในจำนวน 461 คน นี้ถูกจับในคดีปล้นทรัพย์ ลักทรัพย์ในเคหสถาน และลักขโมยเสีย 61.3% แต่ถูกจับในคดีฆ่าคนตาย ข่มขืน และทำร้ายร่างกายเพียง 6.1% สำหรับพวกที่ “เคยเสพ” เฮโรอีนก็เช่นกันพบว่า 54.7% ถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับทรัพย์และ 9.9% ถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับชีวิต และร่างกายในขณะที่พวกที่ “ไม่เคยเสพ” เฮโรอีนนั้นมีเพียง 35.7% ที่ถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับทรัพย์และ 23.6% ถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย การวิจัยนี้ผู้วิจัยสรุปว่า ส่วนใหญ่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพย์
Bass et al. เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรม โดยได้ศึกษาผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังในตะรางจำนวน 150 คน ผลปรากฏว่ามีผู้ต้องหา 47% เป็นผู้ติดยาเสพติดคือเสพบ่อย ๆ และ 21% เป็นพวกนาน ๆ เสพ ที่เหลือเป็นพวกที่ไม่เสพยาเสพติด 32% พวกที่เสพยาเสพติด 68%นั้น พบว่าเป็นผู้ที่กระทำผิดในคดีเกี่ยวกับทรัพย์มากกว่าพวกที่ไม่เสพ นอกจากนี้พวกที่ติดเฮโรอีนยังถูกจับกุมในคดีการครอบครอง หรือซื้อขายยาเสพติดและความผิดฐานลักทรัพย์ ในขณะที่พวกที่ไม่ติดยาเสพติดจะถูกจับกุมในคดีปล้น และทำร้ายร่างกายเป็นส่วนใหญ่
ในขณะที่ Eckerman et. al. และ Bass et. al.ศึกษาจากผู้ถูกจับกุม Barton (1976) หันมาศึกษาจากผู้ต้องขัง โดยได้ศึกษาผู้ต้องขังในเรือนจำของรัฐต่างๆ จำนวน 10,400 คน พบว่า 30% ของผู้ต้องขังดังกล่าวเคยเสพเฮโรอีนมาก่อน เมื่อนำผู้ต้องขังกลุ่มที่เคยเสพเฮโรอีนมาก่อนไปเปรียบเทียบกับผู้ต้องขังกลุ่มที่ไม่เคยเสพเฮโรอีนมาก่อน พบว่า25% ของผู้ต้องขังที่เคยเสพเฮโรอีนมาก่อน ต้องโทษในคดีปล้นทรัพย์ ในขณะที่ 20% ของผู้ต้องขังที่ไม่เคยเสพเฮโรอีนมาก่อน ต้องโทษในคดีปล้นทรัพย์ และผู้ต้องขังที่เคยติดเฮโรอีนมาก่อนต้องโทษในคดีเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายเพียง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ต้องขังที่ไม่เคยเสพซึ่งมีถึง 35%
เกี่ยวกับการศึกษาถึงประวัติการเสพยาเสพติดของผู้ต้องขังนั้น ยังมีการศึกษาอีกหลายเรื่องที่ยืนยันว่าผู้ต้องขังส่วนใหญ่ (ในสหรัฐอเมริกา) มีประวัติการเสพยาเสพติดมาอย่างโชกโชน จากการศึกษาของกรมราชทัณฑ์รัฐวิสคอลซิน (1976) พบว่า 42% ของผู้ต้องขังในเรือนจำของรัฐนี้เคยมีปัญหาเกี่ยวกับการดื่มสุรา และ 65% เคยผ่านการเสพยาเสพติดมาไม่นานก่อนเข้ามาอยู่ในเรือนจำ ในขณะที่การศึกษาของกรมราชทัณฑ์รัฐแมชซาจูเซทส์ (1974) พบว่า 48% ของผู้ต้องขังในเรือนจำของรัฐนี้เคยมีปัญหากับยาเสพติดมาก่อนแต่ผลการศึกษาที่น่าสนใจ คือการศึกษาของกรมราชทัณฑ์ของรัฐนิวยอร์ค (1979) ซึ่งพบว่าในปี 1978 60% ของผู้ต้องขังชาย และ 55% ของผู้ต้องขังหญิงในรัฐนี้เคยเสพยาเสพติดในขณะที่ผู้ต้องขังในคดียาเสพติดนั้นมีอยู่เพียง 16% สำหรับผู้ต้องขังชาย และ 22% สำหรับผู้ต้องขังหญิง นอกจากนี้ในบรรดาผู้ต้องขังที่เคยเสพยาเสพติดนี้มีอยู่เพียง 1 ใน 8 เท่านั้นที่เป็นผู้ต้องขังในคดียาเสพติด ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผู้ต้องขัง ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดนั้นมีจำนวนมากกว่าผู้ต้องขังที่ถูกจับกุมในคดียาเสพติด อย่างไรก็ตาม Bowker (1982) ได้ให้เสนอข้อเปรียบเทียบว่าสัดส่วนผู้ต้องขังที่เคยเสพยาเสพติดในเรือนจำของสหรัฐค่อนข้างจะมากกว่าประเทศอื่น ๆ เช่นในสวีเดนในปี 1978 มีผู้ต้องขังในเรือนจำที่เคยเสพยาเสพติดเพียง 33% สำหรับในประเทศไทย กรมราชทัณฑ์ยังไม่ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศมีผู้ต้องขังที่เคยเสพยาเสพติดเท่าใด สำหรับผู้ต้องขังในคดีตามพระราชบัญญัติยาเสพติดนั้น มีอยู่ประมาณ 20% ของผู้ต้องขังทั้งหมด
ความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรมเป็นผลมาจากตัวแปรแทรก
คำถามที่ตามมาจากการที่มีการศึกษาพบความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรม ก็ถือว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่า ความสัมพันธ์ของยาเสพติดและอาชญากรรมดังกล่าวเป็นผลมาจาก ตัวแปรแทรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแปรที่เกี่ยวกับแบบพฤติกรรม บุคลิกภาพตลอดจนสภาพของสังคมของผู้ติดยาเสพติด
Stimson (1973) ได้ศึกษาแยกประเภทผู้เสพยาเสพติดออกเป็น 4 ประเภท คือ พวกเสพแบบผิวเผิน พวกเสพคนเดียว พวกมีวัฒนธรรมสองแบบ และพวกติดลึก Stimson พบว่า พวกแรกเป็นพวกที่โดยปกติไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเพราะเป็นพวกที่มีงานทำ และจะไม่คบหาสมาคมกับแก๊งค์ยาเสพติดต่าง ๆ สามารถที่จะปรากฏตัวในสังคมโดยคนทั่วไป อาจไม่ทราบว่าเสพยาเสพติด พวกที่สองเป็นพวกที่โดยทั่วไปจะไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีงานทำแต่ก็มีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่ พวกที่สามหรือพวกที่มีชีวิตสองแบบนั้น เป็นพวกที่แม้จะมีงานทำมีความพร้อมทางสังคม แต่ก็ยังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และพวกสุดท้ายคือพวกติดลึกนั้นเป็นพวกที่ไม่มีงานทำไร้ญาติขาดมิตร และเข้าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอย่างเต็มที่
นอกเหนือจากการศึกษาดังกล่าวแล้ว Inciarti (1974) ได้ศึกษาแยกประเภทผู้เสพยาเสพติดออกเป็น 5 ประเภท คือ (1) พวกติดยาเสพติดที่เป็นอาชญากรอาชีพ (2) พวกใช้และเสพยาเสพติดในวิชาชีพต่าง ๆ (3) พวกติดยาเสพติดที่เป็นแก๊งค์วัยรุ่น (4) พวกเสพยาเสพติดหลาย ๆ ชนิดปะปนกัน และ (5) พวกเสพเฮโรอีนที่หลบซ่อนตามตรอกถนนต่าง ๆ พวกที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมมากที่สุดก็คือพวกที่ 1 พวกที่ 4 และพวกที่ 5 นั้นเอง จากการศึกษาดังกล่าวและการศึกษาเพิ่มเติมของ Inciarti (1981) จึงสรุปประเด็นได้ว่า การประกอบอาชญากรรมจะมาก่อนการเสพยาเสพติด หรือการเสพยาเสพติดจะมาก่อนการประกอบอาชญากรรมนั้น ไม่เป็นประเด็นที่สำคัญ เพราะความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้งสองขึ้นอยู่กับตัวแปรที่สาม กล่าวคือถ้าหากศึกษาจากกลุ่มประชากรที่เสพยาเสพติดที่มีฐานะดีหรือมีงานทำก็จะพบว่ากลุ่มประชากรดังกล่าวไม่เคยมีคดี หรือเคยทำผิดมาก่อนเป็นส่วนใหญ่ แต่หากศึกษาจากกลุ่มประชากรที่เสพยาเสพติดที่มีพื้นฐานมาจากสลัมก็จะพบประวัติการกระทำผิดมาก่อนการเสพยาเสพติด ดังนั้น ข้อสรุปในขณะนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรมที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นข้อสรุปของ Ball (1977) ที่ว่าการประกอบอาชญากรรมกับการเสพยาเสพติดมีความสัมพันธ์กันในระดับหนึ่งในกลุ่มผู้เสพยาเสพติดที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ Inciardi ยังสรุปอีกว่าอาชญากรรมจะมาก่อนยาเสพติดหรือยาเสพติดจะมาก่อนอาชญากรรมนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นยังคงยึดแบบพฤติกรรมอาชญากรรมและเสพยาเสพติดต่อไปจนติดยาเสพติดเพราะคนที่เสพยาเสพติดไม่จำเป็นต้องติดยาเสพติดและคนโดยทั่วไหก็เคยทำผิดกฎหมายมาแล้วแทบทุกคน แต่ทำไมคนทั่วไปจึงไม่ดำเนินชีวิตแบบอาชญากร คำถามดังกล่าวเป็นสิ่งท้าทายให้มีการศึกษาต่อไป และแน่นอนคำตอบจะต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัยแทรกอื่น ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
….. อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/410958